วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

ภาพวาดตกแต่งคอนโดมิเนียมที่เสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตได้

ภาพวาดตกแต่งคอนโด มิเนียมที่เสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตได้
เราจะมาพูดถึงความเป็นสิริมงคลหรือการเสริมฮวงจุ้ยง่ายๆโดยใช้ภาพวาดมาตกแต่งคอนโด อาทิเช่นภาพต้นไม้ภาพดอกไม้และภาพผลไม้
1.ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ที่มีความงามมากที่สุดในบรรดาดอกไม้และมีความหมายดีมากสำหรับประเทศจีนจึงเหมาะมากที่จะนำภาพวาดที่มีดอกโบตั๋นมาตกแต่งประดับไว้ที่ห้องนั่งเล่นในคอนโดของเรา

2.ทับทิมเป็นผลไม้ที่ชาวจีนนิยมนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการอวยพรให้คู่สมรสมีบุตรมากและชาวจีนโบราณเชื่อกันว่าต้นทับทิมเป็นต้นไม้ที่สามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้ถ้านำภาพนี้มาตกแต่งไว้ในคอนโดห้องที่เหมาะที่สุดน่าจะเป็นห้องนอนมากที่สุด
3.ลิ้นจี่มีชื่อเรียกเป็นภาษาจีนว่า ลี่จือ ซึ่งหมายถึง ความปราดเปรื่องคล่องแคล่วภาพวาดรูปนี้สามารถนำมากแต่งในคอนโดได้หลายห้องบางครั้งการปลูกต้นลิ้นจี่ในคอนโดนั้นอาจไม่สะดวกด้วยพื้นที่แล้วเราสามารถนำภาพวาดมาแทนได้เพื่อช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้เราได้
4.ต้นไม้ จะช่วยสร้างความปลอดโปร่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายตา เราสามารถนำต้นไม้หรือดอกไม่เล็กๆมาไว้ในคอนโดหรืออาจจัดสวนเล็กๆไว้ตรงจุดใดจุดหนึ่งในคอนโดแต่ภาพวาดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยสร้างบรรยากาศในคอนโดด้วยความเชื่อเกี่ยวกับต้นไม้จะช่วยส่งเสริมในเรื่องของหน้าที่การงานให้เกิดความมั่นคง แข็งแรงดั่งต้นไม้ที่หยั่งรากลึก






บทความอื่นๆน่าสนใจ
- ภาพวาดตกแต่งคอนโดมิเนียมที่เสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตได้
- รูปปั้นสัตว์มงคล เสริมฮวงจุ้ย
- ลักษณะที่ดี ลักษณะอับโชค และ การจัดห้องครัวที่ดี
- การจัดแสงไฟในห้อง  (Lighting Design)  (ตอนที่ 3)
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 2)
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)
- วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
- ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
- เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
- ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
- 8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด
- เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
- วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
- เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
- ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
- 7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด
- ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
- เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
- ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ
- ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด
- ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

รูปปั้นสัตว์มงคล เสริมฮวงจุ้ย

ก่อนที่เราจะเลือกที่อยู่อาศัยพวกบ้านหรือ คอนโด เราก็จะดูเรื่องฮวงจุ้ยเป็นหลักสำคัญอยู่แล้ว เมื่อเราได้บ้านหรือ คอนโดที่ถูกใจและถูกหลักฮวงจุ้ยแล้ว เราก็จะมาดูสิ่งของที่ประดับบ้านหรือ คอนโด โดยที่สิ่งของที่จะนำมาประดับนี้จะต้องมีความหมายและมีผลทางโชคลาภอีกด้วย วันนี้เราจึงขอแนะนำรูปปั้นสัตว์มงคล ที่จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย เราลองมาดูกันว่ามีรูปปั้นสัตว์มงคลตัวไหนบ้าง และแต่ละตัวใช้ยังไง


รูปปั้นมังกร


http://p3.isanook.com/ho/0/ud/11/59041/178857782.jpg
แน่ นอนว่าสัตว์มงคลอย่างแรกที่ทุกคนนึกถึง คงหนีไม่พ้นมังกร ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สูงศักดิ์ เชื่อว่ามังกรสามารถควบคุมปริมาณน้ำของแผ่นดินได้ และยังเชื่อว่ามังกรจะนำความสูงศักดิ์มาสู่ผู้คน


รูปปั้นกิเลน

http://images.thaiza.com/172/172_20090206121344..jpg

กิเลน เป็นสัตว์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี ส่งมอบแต่ความสุขความเจริญ แม้กระทั่งเวลาเดินยังระมัดระวัง ไม่เหยียบย่ำสัตว์เล็ก เชื่อกันว่าเมื่อวันที่ปรมาจารย์ขงจื้อกำเนิด กิเลนปรากฎ กำเนิดซึ่งนักปราชญ์ กิเลนได้นำความสุข ความมงคลมาสู่โลกมนุษย์ การตั้งรูปปั้นกิเลนมี 2 ลักษณะ คือ ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจดี กิเลนจะสงสารและให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้าย กิเลนก็จะโต้ตอบ เหมือนดั่งศัตรู


รูปปั้นคางคก 3 ขา

เชื่อ กันว่าคางคก 3 ขามีความสามารถในการคายเงินคายทองออกจากปากได้ คางคกสามขาจึงนิยมใช้ในหมู่คนค้าขาย เพื่อเพิ่มพูนเงินทองให้กับเจ้าของกิจการ ควรจะใช้คางคกสามขาที่เป็นสีทอง หรืออาจจะเป็นคางคกสามขาที่ทำจากหยก




รูปปั้นช้าง

ช้าง เป็นสัตว์ใหญ่ มีความเชื่อเรื่องของความสูงใหญ่ เปรียบเป็นภูเขาสูงใหญ่ที่มั่นคงตามหลักของฮวงจุ้ย โต๊ะทำงานของผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการควรอิงผนังทึบและเรียบ เพื่อให้เกิดความมั่นคง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ช้างเพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตได้ด้วย เช่นห้องทำงานที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม




รูปปั้นเต่า

เชื่อ กันว่ามีการค้นพบแผนผังลั่วซูบนหลังเต่าที่ขึ้นมาจากแม่น้ำลั่วหยาง และแผนผังนี้ก็ได้นำมาเป็นแผนผังโป่ยข่วย หรือ แผนผังแปดทิศจึงมีการนำรูปปั้นเต่ามาใช้เพื่อส่งเสริมความเป็นมงคลให้กับ ชีวิต และเพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ภัยต่างๆ ในขณะเดียวกันยังสามารถใช้เต่าเพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตได้ด้วย โดยการตั้งเต่าให้หันหน้าไปยังทิศที่มีปราณชี่พิฆาตต่างๆ



บทความอื่นๆน่าสนใจ
- รูปปั้นสัตว์มงคล เสริมฮวงจุ้ย
- ลักษณะที่ดี ลักษณะอับโชค และ การจัดห้องครัวที่ดี
- การจัดแสงไฟในห้อง  (Lighting Design)  (ตอนที่ 3)
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 2)
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)
- วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
- ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
- เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
- ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
- 8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด
- เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
- วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
- เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
- ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
- 7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด
- ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
- เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
- ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ
- ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด
- ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ลักษณะที่ดี ลักษณะอับโชค และ การจัดห้องครัวที่ดี


 หลักในการเลือกที่อยู่อาศัยในแบบ คอนโดมิเนียม นั้น จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่ หลายประเด็นกับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ใครที่กำลังคิดจะหาซื้อคอนโดฯ สักห้อง ลองนำหลักดังต่อไปนี้ ไปพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ ก็จะได้ห้องที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย หลักในการพิจารณาคอนโดฯว่า มีฮวงจุ้ยที่ดีหรือไม่นั้น ให้พิจารณาดังนี้

ดูทิศทางเพื่อเลือกตำแหน่งห้อง

การดูทิศถือว่าสำคัญมาก การจะเลือกห้องอยู่ทางทิศไหนนั้น มีหลักให้พิจารณาง่ายๆ ดังนี้
- ด้านเหนือ อับลม (เพียง 4 เดือน)
- ด้านใต้ รับลม (มีถึง 8 เดือน)
- ด้านตะวันออก รับแสงตอนเช้า (ช่วงตื่นทำให้สดชื่น)
- ด้านตะวันตก รับแสงตอนบ่าย (ช่วงเย็น ทำให้อากาศภายในอบร้อน ไม่อยากกลับห้องช่วงเย็น)

 จะเห็นได้ว่า ด้านใต้กับตะวันออกจะเป็นด้านที่ดี เพราะได้ประโยชน์จากลมและแสงแดด อย่า ลืมว่า ห้องคอนโดฯไม่เหมือนกับบ้านเป็นหลัง เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ มีช่องทางเข้าสู่ห้องเพียงด้านเดียว(ระเบียง) ความสมดุลในเรื่องของลมและแสงจะไม่สมดุลอยู่แล้ว ถ้าเลือกตำแหน่งห้องที่อับลมอีก ห้องนั้นจะไม่มีการหมุนเวียนของลมเลย ย่อมส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัยได้ง่าย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพหลัก 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงปัจจัยเบื้องต้น ในการสังเกตลักษณะภายนอก ของ คอนโดฯ ที่ดีและไม่ดี หลังจากนั้นค่อยไปเลือกตำแหน่งห้องภายใน คอนโดฯ อีกที การจะรู้ว่าห้องไหนดีกว่าห้องไหนนั้น คงต้องรออ่านตอนหน้าแล้วล่ะครับ ผมพูดถึงหลักในการเลือกซื้อ คอนโดมิเนียม โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมไปแล้ว แต่คนส่วนใหญ่มักจะถามผมเสมอว่า เกิดปีนี้ราศีนี้ ควรจะอยู่คอนโดฯแบบใดทิศใดถึงจะดี ผมคงต้องบอกกันก่อนว่า การนำเรื่องของดวงชะตาบุคคลมาพิจารณานั้นเป็นปัจจัยเสริมมากกว่าจะเป็นโจทย์ หลักในการใช้ตัดสินหลายคนเข้าใจผิดใน เรื่องนี้มาก ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ฮวงจุ้ยผิดเพี้ยนไปได้ หลักในการวิเคราะห์ว่า ฮวงจุ้ยดีหรือไม่ดี จะต้องนำเรื่องของสภาพแวดล้อม (ชัยภูมิ) มาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา

การหาตำแหน่งห้องที่ดี

จะ ต้องพิจารณาด้านทั้งสี่ของอาคารเป็นหลัก คำถามที่ผม มักเจออยู่บ่อยๆ ก็เห็นจะเป็น “จะเลือกห้องไหนถึงจะดี” หลักในการเลือกจะต้องดูด้าน ทั้ง 4 ของ คอนโดฯ ดูว่าด้านไหนดีที่สุดก็เลือกด้านนั้น ด้านที่ดีส่วนใหญ่จะเป็นที่โล่ง ไม่มี อาคารอื่นปิดบังห้อง มีสวน สระน้ำ แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือทัศนียภาพที่สวยงาม

ลักษณะส่งเสริมโชคลาภ

  • ประตูห้องหันหน้าออกไปในทิศทางเดียวกับประตูใหญ่เข้าตัวอาคาร
  • ห้องน้ำอยู่ทางส่วนด้านหลังของห้อง
  • เป็นห้องที่อยู่กลางๆ ของแถวเดียวกัน มีห้องบริวารซ้ายขวาขนาบด้วย
  • มีม่านหรือฉากหรือตู้-ชั้นกั้นบริเวณต่างๆ ให้เป็นสัดส่วน ในกรณีที่เป็นห้องเดียวมิใช่ห้องชุด กั้นส่วนที่เป็นมุมครัวและเตียง
  • อย่าให้มองเห็นได้ถนัดชัดเจนทุกๆ มุมในห้อง
  • ปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้ที่ระเบียง
  • มีส่วนของหน้าต่างอยู่พอเพียงและสมดุลกับขนาดของห้อง
  • บริเวณหรือมุมทำครัวอยู่ส่วนด้านหลังของห้อง มิใช่ด้านหน้า
  • มองจากหน้าต่างออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ที่ดี มิใช่มองเห็นทุ่งรกร้าง สุสาน วัด หรือโรงพยาบาล

ลักษณะอับโชค

  • ประตูห้องไม่ควรอยู่ตรงกันพอดีกับห้องฝั่งตรงข้าม -อย่าเลือกห้องที่อยู่มุมสุดทางเดิน
  • อย่าเลือกห้องที่อยู่ใกล้ช่องทางทิ้งขยะ-ประตูห้องหันหน้ารับลิฟท์หรือ บันไดถือว่าไม่ดี
  • เปิดประตูเข้าไปไม่ควรเห็นห้องน้ำอยู่ทางหน้าห้อง-ห้องครัวหรือเคาน์เตอร์ ทำครัว ไม่ควรอยู่ค่อนมาทางด้านหน้าห้อง
  • ประตูห้องน้ำหันชนกับประตูห้องนอนหรือปลายเตียงถือว่าไม่ดี
  • ตำแหน่งที่ตั้ง เครื่องเตาและกระทะไม่ควรอยู่ใกล้กับก๊อกน้ำ
  • ห้องนอนไม่มีหน้าต่างไม่ได้-อย่าเลือกห้องที่อยู่ฝั่งปีกด้านใดด้านหนึ่ง ของตัวอาคาร
  • อย่าเลือกห้องที่ยื่นลอยอยู่ในอากาศ โดยไม่ได้อยู่บนตัวอาคาร ที่ก่อสร้างมีฐานยึดอยู่กับพื้นดิน
  • มุมทำครัวไม่ควรอยู่หน้าห้องน้ำ-หลีกเลี่ยงห้องที่อยู่ใต้แท๊งก์น้ำขนาด ใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนของห้องนั้น
  • เปิดประตูห้องเข้าไปไม่ควรเห็นเตียง ตั้งโดดเด่นรับตาคน ให้หาม่านหรือตู้มาตั้งบังตาเสีย
  • ห้องครัว

    • มุม ที่จัดแต่งเป็นมุมทำครัวควรอยู่ด้านหลังของห้อง อย่าจัดวางในส่วนด้านหน้าห้อง เมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นมุมครัวเลย ถือว่าไม่ดี ทำให้สุขภาพอ่อนแอ เงินทองรั่วไหลได้ง่าย
    • หาก ไม่สามารถโยกย้ายได้จริงๆ ก็อาจหาฉากหรือชั้นมาตั้งเพื่อกั้นบังตาไว้เป็นการแก้เคล็ด ตั้งวางเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไว้ชิดผนังด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้เกิดความมั่นคงในฐานะการเงินและอาชีพการงาน อย่าตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไว้บนโต๊ะที่โล่งว่าง
    • มุมที่จัดวางเตาและกระทะต่างๆ ไม่ควรชิดผนังห้องน้ำ ลักษณะเช่นนั้นจะบั่นทอนสุขภาพ และมีผลกระทบต่อเรื่องเงินทองด้วยเช่นกัน
    • ซิงก์ ล้างจานอย่าจัดวางให้ชิดกับ เตาไฟ หรือที่ปรุงอาหารซึ่งเป็นไฟ จะทำให้ทรัพย์สินเงินทอง มีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก สามี-ภรรยาก็จะกระทบกระทั่งกันจนร้าวฉานได้ในที่สุด

    พิจารณาที่ตัวคอนโดฯ

            ว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีหรือไม่ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า พิจารณาแค่ห้องที่เราจะซื้อเท่านั้น อย่าลืมว่า ห้องที่เราเลือกเป็นส่วนหนึ่งของคอนโดฯทั้งหลัง ถ้าคอนโดฯทั้งหลังมีฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว ห้องที่อยู่ภายในทั้งหมดก็จะได้รับผลดีไปด้วย แต่ถ้าคอนโดฯฮวงจุ้ยเสีย ต่อให้เลือกตำแหน่งห้องที่ดีที่สุดของคอนโดฯก็ยังได้รับผลเสียอยู่ดี

    คอนโดฯ ที่ได้ชื่อ ว่า ฮวงจุ้ยดี จะต้องเข้าข่าย ดังต่อไปนี้

    • คอนโดฯ อยู่ใกล้แหล่งชุมชน ไม่อยู่โดดเดียวหลังเดียว
    • เส้นทางเข้าสู่คอนโดฯ ต้องไม่อยู่ห่างจากถนนใหญ่มากเกินไป
    • สิ่ง ปลูกสร้างรอบๆคอนโดฯ ต้องไม่มีลักษณะร้าย เช่น สะพานลอย ทางด่วน ทางรถไฟ ทางยกระดับพาดผ่าน หรือมีเสาไฟฟ้าแรงสูง เสาอากาศวิทยุหรือโทรทัศน์ ขนาดใหญ่อยู่ใกล้
    • คอนโดฯต้องไม่มีเหลี่ยมมุมของอาคารข้างเคียงพุ่งเข้าสู่อาคาร หรือคอนโดฯอยู่ระหว่างซอกตึกของอาคารตรงข้าม
    • คอนโดฯต้องไม่แวดล้อมด้วยอาคารที่สูงกว่า



บทความอื่นๆน่าสนใจ
- ลักษณะที่ดี ลักษณะอับโชค และ การจัดห้องครัวที่ดี
- การจัดแสงไฟในห้อง  (Lighting Design)  (ตอนที่ 3)
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 2)
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)
- วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
- ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
- เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
- ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
- 8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด
- เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
- วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
- เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
- ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
- 7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด
- ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
- เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
- ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ
- ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด
- ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 3)

มารู้จักประเภทของหลอดไฟที่ใช้ตามบ้านเรือน อาคาร หรือ คอนโด กัน เพื่อที่เราจะได้เลือกใช้หลอดแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสมกับห้อง  ซึ่งในปัจจุบันมีหลอดไฟให้เราเลือกใช้อยู่มากมายหลายประเภท มีทั้งหลอดไฟที่ให้ความสว่างแตกต่างกัน หรือว่าเป็นหลอดที่มีความสว่างเท่ากันแต่เป็นคนละประเภท ซึ่งประสิทธิผลย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนการเลือกติดตั้งหลอดไฟ ภายในบ้าน  ควรศึกษาและทำความเข้าใจหลอดไฟประเภทต่างๆ ในท้องตลาดว่ามีลักษณะและประเภท การใช้งานอย่างไร เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย


1. หลอดไฟชนิดไส้


ที่รู้จักกันในชื่อ หลอดธรรมดา หรือ หลอดหลอดความร้อน ให้แสงสว่างโดยการให้ความร้อนแก่ไส้หลอดที่เป็นลวดโลหะกระทั่งมีอุณหภูมิสูงและเปล่งแสง หลอดแก้วที่เติมแก๊สเฉื่อยหรือเป็นสุญญากาศป้องไม่ให้ไส้หลอดที่ร้อนสัมผัสอากาศ  หลอดประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ควบคุมภายนอกและมีราคาไม่แฟง  ด้วยเหตุนี้ หลอดไส้ร้อนแบบธรรมดาจึงใช้กันอย่างกว้างขวางในครัวเรือนและไฟฟ้าใช้ในเชิงพาณิชย์ ตลอดจนไฟฟ้าแบบพกพา อย่างเช่น ไฟตั้งโต๊ะ ไฟโรงรถ และไฟฟ้าสำหรับตกแต่งและโฆษณา  แต่ข้อเสียก็คือ หลอดไฟชนิดไส้นี้เมื่อใช้ไปสักพักจะร้อน และกินไฟเยอะเกินไป ประกอบกับมีอายุการใช้งานที่สั้น



2. หลอดตะเกียบ



หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า หลอดประหยัดไฟ เป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์ขนาดเล็กที่ได้มีการพัฒนาขึ้น มาเพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและเพื่อใช้แทนหลอดไส้ที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนส์จะมีขนาดกระทัดรัดและมีกำลังส่องสว่างสูง เหมาะสมในการให้แสงสว่างทั่วไป ที่ต้องการความสวยงาม มีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไส้ประมาณ 8 เท่า หรือ 8,000 ชั่วโมง และการใช้พลังงานของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์จะน้อยกว่าหลอดไส้ ประมาณ 4 เท่า



3. หลอดฟลูอเรสเซนต์ หรือ หลอดนีออน


หลอดไฟฟ้าชนิดนี้ ตัวหลอดทำด้วยแก้ว บางใสกลมยาวรูปทรงกระบอกหรือรูปวงกลม ภายในหลอดแก้วจะสูบอากาศออกเกือบหมด และ บรรจุก๊าซอาร์กอนและปรอทไว้เล็กน้อย ที่ผิวด้านในของหลอดฉาบไว้ด้วยสารเคมีบางชนิดที่เปล่งแสงได้ เมื่อได้รับความร้อนจากไส้หลอด ก็จะให้แสงสว่าง การใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ไม่สามารถต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้าในบ้านได้โดยตรงเหมือน กับหลอดไฟฟ้าธรรมดา เพราะจะทำให้หลอดไส้ขาดทันทีที่กระแสไฟฟ้าผ่าน ดังนั้นจึงต้องใช้ต่อร่วมกับอุปกรณ์อื่นอีก ได้แก่ สตาร์ตเตอร์ และบัลลัสต์  



4. หลอดไอปรอท หรือ หลอดแสงจันทร์



การทำงานของหลอดประเภทนี้ จะทำงานด้วยหลักการปล่อยประจุความเข้มสูง มีอายุการใช้งานประมาณ
24000 ชม มีค่าความถูกต้องของสีค่อนข้างต่ำ แสงจะออกนวลมีปริมาณแสงสว่างต่อวัตต์สูงกว่าหลอดชนิดอื่นๆ แสงส่องสว่างได้ไกลเหมาะกับงานสนามและภายนอกอาคาร เมื่อเปิดหลอดประเภทนี้ จะต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งก่อน จะทำงานได้เต็มที่ และเมื่อปิดแล้วก็ต้องรออีกราวสิบนาทีก่อนจะเปิดใช้งานได้อีก ปัจจุบันหลอดไอปรอท ไม่นิยมใช้งานแล้ว เนื่องจากดูแลรักษายาก และปรอท ก็ยังเป็นพิษต่อคนและสิ่งแวดล้อม



5. หลอดเมทัลฮาไลด์



ลักษณะการกำเนิดแสงสว่าง คล้ายกับหลอดแสงจันทร์ แต่ภายในบรรจุอิเล็กตรอนที่ทำด้วยทังสเตนล้วนๆ ทำให้ได้ ปริมาณแสงมากขึ้นกว่าหลอดแสงจันทร์ เกือบเท่าตัว ได้แสงสีสมดุลขึ้น จนดูใกล้เคียงแสงแดด อายุการใช้งานประมาณ
24000 ชม ใช้กับงานที่ต้องการความถูกต้องสีมาก เช่น งานพิมพ์สี สนามกีฬาเฉพาะที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า



6. หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์



 มีหลักการทำงานเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ มีทั้งแบบที่มีบัลลาสต์ในตัว มีขั้วเป็นแบบเกลียว สวมใส่เข้ากับเต้าเกลียวของหลอดไส้ได้เลย และแบบที่มีขั้วเป็นขาเสียบ ใช้ร่วมกับโคม และมีบัลลาสต์ภายนอก โดยผลิตออกมาหลายค่าพลังงาน สีของแสง มี
warm white, cool white และ day light เช่นเดียวกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ รูปร่างก็หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหลอดคู่ หลอดสี่แถว หลอดยาว หลอดเกลียว หลอดมีโคมครอบ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์



7. หลอด LED



หลอด
LED ถือว่าเป็นทางเลือกของอนาคตได้เลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติการทำงานที่ไม่มีการเผาไส้หลอด จึงไม่เกิดความร้อน แสงสว่างเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอภายในสารกึ่ง พลังงานเปลี่ยนเป็นแสงสว่างได้เต็มที่ มีแสงหลายสีให้เลือกใช้งาน ขนาดที่เล็กทำให้ยืดหยุ่นในการออกแบบ การจัดเรียง นำไปใช้ด้านตกแต่งได้ดี มีความทนทาน ไม่ต้องห่วงเรื่องไส้หลอดขาด หรือหลอดแตก ด้านอายุการใช้งานก็อยู่ได้ถึง 50,000-60,000 ชั่วโมง ทั้งยังปรับหรี่แสงได้ง่ายกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และที่สำคัญ ปราศจากปรอท และสารกลุ่มฮาโลเจนที่เป็นพิษ แต่มีข้อเสีย คือในปัจจุบันหลอด LED มีราคาสูงกว่าหลอดธรรมดาทั่วไปและมีความสว่างไม่มากนัก




บทความอื่นๆน่าสนใจ
การจัดแสงไฟในห้อง  (Lighting Design)  (ตอนที่ 3)
การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 2)

การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)
วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย 
มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด 
เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย 
วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด 
ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ 
ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด 
ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 2)

          แต่ละห้องของบ้านหรือ คอนโด  ก็ย่อมมีสไตล์การตกแต่งและความต้องการในการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่ง “แสงไฟ” ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงฟีลลิ่งของแต่ละห้องได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อให้ห้องต่าง ๆ ภายในบ้านมีบรรยากาศที่เหมาะสม

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkOl5N18fDONV2kw_6P3aGo4Tscg9jnj6wNofLrCYwdJAIRygefLe3PgCQFtvmUVARXfh6hpfgjgecT_DK3icaNPVa88u76irVyWET6Qf3IAmS62fSHasKng19TI0VztSK3Pn874ZAo1f0/s1600/bedroom-lighting.jpg
1. ห้องนอน

          ห้องนอนเป็นห้องสำคัญของทุกคน ซึ่งบรรยากาศภายในห้องนอนควรรู้สึกสงบและอบอุ่น อีกทั้งควรให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะเป็นห้องที่ใช้ในการพักผ่อนอย่างแท้จริง ดังนั้นแสงไฟในห้องนอนจึงควรใช้แสงไฟที่ไม่สว่างจัด เช่น แชนเดอเลียร์, ไฟซ่อนผนัง, ไฟฝังฝ้า หรือจะเป็นหลอดไฟในบ้านทั่ว ๆ ไปก็ได้ แต่ไม่ควรให้แสงอ่อนมากเกินไป หากมีการอ่านหนังสือควรใช้แสงสว่างให้เพียงพอ หรือมีโคมไฟหัวนอนเสริม

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhETuPVo1rwBdK3Z8tlHSZWY9IVANyL3FU75wFvbnxm-egyM7CpdODp2djQzgAZbRMiqBDYHD03LEZvGa61mEjdlF8QcoNrX3aOH3XQv7ttzge_EUy3X1LzOi-8sBWq3IoNXx9-ko44HqiW/s1600/living-room-lighting.jpg

2. ห้องนั่งเล่น

          ห้องนั่งเล่นคือจุดสำคัญ ที่มีไว้รับแขกและใช้ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เรียกว่าเป็นห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนแสงไฟได้หลากหลายให้ตรงกับ ความต้องการ แต่ควรให้มีแสงสว่างมากหน่อย เช่น ใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หรือหากอยากให้มีความนุ่มนวลสวยงาม อาจใช้แสงไฟนวล ๆ จากหลอดสีส้ม หรือแสงไฟเฉพาะจุดที่เน้นงานศิลปะ ตู้โชว์ ฯลฯ ก็ได้

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidYs8m_HdAAOEMjCCUG1o5KC3w8L8QWd_OO81pPawyWvIEaN5a8b7qMCAxTXqqf32L6ncQJty-3h2af0sE2RceqlHIC7BYtLTijSGa7RZnWBW_Ozt0QX8MeZtQHeQICN9IMazy-DdGZak3/s1600/A-series-of-square-bulbs-creates-vanity-lighting-in-a-modern-bathroom.jpg

3. ห้องน้ำ

          เป็นอีกหนึ่งห้องที่มีความสำคัญสำหรับทุกคนในบ้าน เพราะเราต้องใช้ห้องน้ำกันวันละหลายครั้ง ดังนั้นเพื่อให้ห้องน้ำไม่เกิดความอับชื้น มองเห็นทางเดินได้ชัดเจน ไม่ลื่นล้ม ควรเลือกแสงไฟที่สว่าง ๆ หากเปิดให้แสงธรรมชาติถ่ายเทผ่านเข้ามาได้มากยิ่งดี ทั้งนี้หากมีโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับแต่งหน้า แต่งตัว อยู่ภายในห้องน้ำ ให้ติดไฟรอบ ๆ กระจกด้วยแสงอ่อนนุ่ม

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlUvHXe5BKZxyaXyZsUQDpHNJnxdQY3ebVUuc_znu6vA3exWfqup3RIuuIifpSzbffp4cCz6lInIhf7rlLs4E1lC_yr-qIHGynxp0_BeJ-e_jwoA8Dc8vIOjRwoy0HLYEadVSfgwdL0-PM/s1600/The-Design-Of-The-Kitchen-And-Dining-Room-and-black-case-of-lamp.jpg

4. ห้องครัว

          สำหรับห้องครัวที่เราใช้ประกอบอาหาร ควรใช้แสงไฟสว่างตั้งแต่แสงปกติไปจนถึงสว่างเป็นพิเศษ เช่น หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป หรือหลอดไฟฮาโลเจนก็ได้ และควรเปิดช่องให้มีอากาศถ่ายเท มีแสงจากธรรมชาติเข้ามามากที่สุด เนื่องจากในห้องครัวไม่ควรเป็นจุดอับ อีกทั้งควรเพิ่มแสงสว่างใต้เครื่องดูดควัน หรือใต้ตู้เก็บของชั้นบนด้วย

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBbUpjCnNiehj7soz4SjlWtWV5EWbyrJNbfDwGC4WQdeesOSlIQMut-gpXPYVuIjhrWDcKBpAlVD3gaTyyviiuc7KDGxRWgz2x5nYEJYGYNMuip7oZ9UZzR8U7O0V_TmkkwCZHrf1hOY3W/s1600/work.jpg

5. ห้องทำงาน

          ห้องทำงานคือห้องที่ต้องใช้สมาธิมาก ความเงียบสงบ สบาย ๆ และไม่จัดจ้าน จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่า ดังนั้นแสงที่ใช้ในห้องทำงานจึงควรเป็นแสงธรรมชาติ หรือหลอดไฟแสงสีขาว เพื่อให้สีภายในห้องไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะเมื่อต้องเพ่งสายตากับคอมพิวเตอร์นาน ๆ

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIpqj75u2OOeeJp4nlJfk6kVERo2oRKdEGxBj_ISGpf4EGjl-6bjYf_WrmsztsK_4-LNMj13D2ArpQNt62L9LbwgjURkUb520CZk0r0pN2A6mUAl8tR5blLL7557U8NMEnNZ-Yuw4IHySt/s1600/Contemporary-Elegant-Dining-Room-Lighting-Interior-Design-Ideas.jpg

6. ห้องรับประทานอาหาร

          การเพิ่มบรรยากาศดี ๆ ให้กับห้องรับประทานอาหาร ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกแสงไฟที่สว่างและสะอาดตา โดยเฉพาะแสงไฟสวย ๆ จากแชนเดอเลียร์เหนือโต๊ะอาหาร ที่จะทำให้ทุกจานบนโต๊ะอาหารดูน่ารับประทานมากขึ้น ทั้งนี้โคมไฟควรเล็กกว่าด้านกว้างของโต๊ะประมาณ 6-12 นิ้ว และสูงเหนือโต๊ะประมาณ 2 ฟุต

          ถึงแม้ว่าแต่ละห้องจะมีสไตล์การตกแต่งที่แต่งต่างกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเพิ่มความใส่ใจในการเล่นแสงไฟเข้าไปด้วย ก็จะช่วยทำให้แต่ละห้องมีบรรยากาศที่น่าอยู่มากขึ้น





บทความอื่นๆน่าสนใจ
- การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 2)
การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)
วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย 
มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด 
เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย 
วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด 
ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ 
ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด 
ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)

    แสงไฟในบ้าน อาคาร หรือ ใน คอนโด ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อใช้ในการส่องสว่างเวลายามค่ำคืน  ไม่ว่าจะเป็นไฟในบ้าน ตามห้องต่างๆ หรือ นอกบ้านก็ตาม ดังนั้นการออกแบบแสงไฟ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้ประโยชน์หรือใช้เพื่อการตกแต่ง   ซึ่งจะสว่างมากน้อยเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานใน บริเวณนั้นๆ

news-main-292-1421402123.jpg (370×278)

การให้แสงสว่างภายในห้อง แบ่งเป็น

1. แสงที่ใช้ส่องสว่าง (แสงหลัก)
แสงเพื่อการใช้งานทั่วไป ก็ คือ ไฟติดเพดาน  เพื่อให้ความสว่างแบบกระจายทั่วพื้นที่ ซึ่งเราสามารถติดตั้งสวิสซ์หรี่ไฟ เพื่อช่วยควบคุมปริมาณแสงได้  ทั้งนี้ต้องดูชนิดหลอดด้วยว่าเป็นหลอดไส้หรือเปล่า ถ้าใช่สามารถติดตั้งได้สบาย แสงแบบนี้เราสามารถพบได้ทั่วไป โดยเฉพาะในห้องคอนโดหรือบ้านต่างๆ 



  หรืออาจจะเป็น แสงไฟเพื่อการใช้งานเฉพาะจุด ช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆได้สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ทำงาน ทานอาหาร เราควรเลือกหลอดไฟและโคมไฟที่เน้นการให้แสงเป็นลำส่องตรงเฉพาะจุด ไม่กว้างมาก และเป็นแสงชนิดที่สว่างที่สุดในห้อง สามารถเลือกใช้โป๊ะโคมแบบทึบ และด้านในเป็นวัสดุช่วยสะท้อนแสงได้อีกด้วย

2  แสงที่ใช้เพื่อตกแต่ง หรือสร้างบรรยากาศ
โดยมากจะเป็นโคมไฟติดผนัง โคมไฟส่องภาพ โคมไฟตั้งพื้น โคมไฟตั้งโต๊ะ หรือาจจะเป็นไฟอัพไลท์ ไฟหลืบ ไฟซ่อนต่างเพื่อสร้างบรรยากาศให้น่าสนใจ หรือกำหนดจุดที่ต้องการให้ความสนใจเป็นพิเศษ





บทความอื่นๆน่าสนใจ
การจัดแสงไฟในห้อง (Lighting Design) (ตอนที่ 1)
วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย 
มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด 
เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย 
วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด 
ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ 
ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด 
ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น

“พรมปูพื้น” ใช้ตกแต่งห้อง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือ คอนโด ต่างๆ ให้ดูสวยงาม หรูหรา มีสไตล์แล้ว ยังเป็นของที่ใช้ประโยชน์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น นั่งหรือนอน ก็สามารถทำได้
สำหรับ ชนิดของพรมที่นิยมใช้กันเป็นพรมจากใยสังเคราะห์, ไนลอน และโพรพิลิน ซึ่งสามารถดูแลรักษาง่าย และที่สำคัญเหมาะกับอากาศร้อนแบบบ้านเรา อย่างไรก็ตามเราควรนำพรมมาซักทำความสะอาด ขจัดฝุ่นสะสมเป็นประจำด้วย

http://www.decosee.com/picture/briliant-decoration-light-brown-carpet.jpg


วิธีเลือกพรมปูพื้น สำหรับคนที่อยากได้พรมปูพื้นบ้านสวย ๆ และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ควรเลือกซื้อพรมปูพื้นยังไงมาดูกัน

1. เลือกซื้อให้เข้ากับห้อง
ก่อน ตัดสินใจซื้อพรมมาตกแต่งห้อง ควรพิจารณาจากส่วนประกอบให้ตรงตามคอนเซปต์ที่วางไว้ ควรดูสไตล์ของห้อง สีห้อง และการตกแต่งอื่นๆ แล้วคิดแบบพรมที่คุณสามารถระบุลาย สี และแบบของพรม
2. เลือกใช้ขนาดให้เหมาะสม
ดูลักษณะของห้องก่อนเรา มีพื้นที่ ที่จะปูพรม เท่าไหร่ โดยให้เลือกปูให้พอเหมาะกับขนาดของห้องเพื่อความสวยงาม
3. พรมสีไหนดี ?
          ถ้าคุณต้องการให้ห้องมีบรรยากาศเย็นสงบควรปูพรมสีฟ้าหรือสีเขียว แต่สำหรับห้องเล็กที่ต้องการทำให้ดูกว้างควรเลือกปูพรมสีสว่าง ส่วนห้องขนาดใหญ่ที่ต้องการเสริมบรรยากาศอบอุ่นควรใช้พรมสีทองหรือสีแดงอ่อน หรือถ้าผนังห้องตกแต่งไว้ฉูดฉาดอยู่แล้วอาจจะเลือกปูพื้นพรมสีเนื้อหรือสี ครีมแทนก็ได้ ส่วนใครต้องการปกปิดคราบสกปรกและต้องการให้ห้องมีบรรยากาศลึกลับน่าค้นหา แนะนำให้ปูพรมสีดำหรือสีเข้มไปเลยค่ะ แต่อย่างไรก็ดี การเลือกสีของพรมก็ควรแมทช์กับสไตล์การตกแต่งบ้านของคุณเอง
4. ราคาพรมปูพื้น
ก่อน ซื้อเราควรตรวจเช็คค่าใช้จ่ายให้แน่ใจด้วยว่า นอกจากราคาพรมแล้วยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ จำพวกค่าจัดส่ง, ค่าติดตั้ง, ค่าอุปกรณ์ติดตั้ง, และค่าเคลื่อนย้ายสิ่งของก่อนติดตั้งด้วยหรือไม่ นอกจากนี้เราควรพิจารณาระยะเวลาและเงื่อนไขของการรับประกันสินค้าด้วย เพือเราจะได้ไม่เสียเปรียบและชำระค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป
5. พื้นรองพรมควรเป็นพื้นยาง
          แน่นอนว่าของคุณภาพดีย่อมมีอายุการใช้งานที่ทนทานกว่าอยู่แล้วยิ่งถ้าเป็น พรมปูพื้นก็ควรต้องเลือกวัสดุที่บุรองด้วยความรอบคอบสักหน่อย เพื่อให้เราแน่ใจได้ว่าพรมปูพื้นบ้านของเราจะไม่สึกหรอในเร็ววัน โดยวัสดุรองพื้นพรมที่ดีควรต้องเป็นพื้นยางซึ่งจะช่วยให้พรมยึดพื้นบ้านได้ อย่างแน่นหนากว่าวัสดุอื่น ๆ นอกจากนี้น้ำหนักสุทธิของพรมควรจะอยู่ราว ๆ 2.7-3.6 กิโลกรัม โดยมีเส้นไหมอย่างน้อย 3-4 เส้นไหม ต่อ 1 เส้นพรม
6. ชนิดของพรมต้องดูให้ดี
          เนื่องจากพรมปูพื้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด หลายคนเลยอาจสับสนไม่รู้จะเลือกพรมแบบไหนมาปูพื้นห้องต่าง ๆ ในบ้านดี แต่การตัดสินใจเลือกใช้พรมที่ดูสวยและเหมาะกับสไตล์บ้านแค่นั้นอาจจะไม่พอ เราต้องเลือกปูพรมที่มีเส้นทอแน่นหนาจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้เห็นบุรอง เส้นพรมต้องนิ่มและฟูเพื่อให้รองรับแรงกระแทกได้ดี ที่สำคัญต้องให้สัมผัสนุ่มเท้าด้วย ซึ่งลักษณะพรมแบบนี้ควรใช้กับพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนเดินบ่อย เช่น ห้องนอน เป็นต้น ส่วนห้องที่ใช้ค่อนข้างมีคนเดินพลุกพล่าน เช่น ห้องครัวและห้องนั่งเล่น ควรเลือกใช้พรมขนสั้นหรือพรมผิวเรียบเพื่อให้ดูดฝุ่นและทำความสะอาดได้ง่าย แทน
7. ต้องรู้วิธีการทำความสะอาดพรมเบื้องต้นไว้ก่อน
          ก่อนเลือกซื้อพรมปูพื้นมาตกแต่งบ้าน เราควรสอบถามคนขายให้แน่ใจก่อนว่า พรมชนิดนั้น ๆ ควรดูแลรักษาเบื้องต้นอย่างไร และขั้นตอนการทำความสะอาดพรมที่ถูกต้องควรทำยังไง โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กและสัตว์เลี้ยงร่วมชายคาอยู่ด้วย คุณควรต้องเรียนรู้วิธีทำความสะอาดพรมและการดูแลพรมเบื้องต้นไว้เอาเลย อีกทั้งอย่าลืมเลือกพรมที่มีคุณสมบัติป้องกันคราบซึมเปื้อนมาใช้แทนพรมปกติ ด้วยนะคะ เพราะพรมที่มีคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้จะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า แถมยังช่วยย่นระยะเวลาการทำความสะอาดของคุณให้น้อยขั้นตอนลงด้วย

http://www.cmc.co.th/files/picture/news/main/news-main-291-1421147491.jpg
          เมื่อปูพรมให้พื้นบ้านหรือคอนโด แล้ว ควรต้องดูแลรักษาความสะอาดให้บ่อยขึ้น ด้วยการดูดฝุ่นผืนพรมเป็นประจำทุกสัปดาห์ และระมัดระวังอย่าให้น้ำหรืออาหารหกเลอะบนผืนพรมด้วย





บทความอื่นๆน่าสนใจ
- วิธีเลือกซื้อพรมปูพื้น
- ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
- เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
- ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
- 8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด
- เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
- วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
- เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
- ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
- 7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด
- ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
- เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
- ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ
- ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด
- ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด 

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย

บ้านเรือนหรืออาคารพาณิชย์ แม้กระทั่ง คอนโด ต่างๆ สมัยนี้นิยมทำฝ้าหลุมกันมากขึ้น เพราะมองว่าดูมีมิติ และสวยงาม แต่หากดูตามหลักฮวงจุ้ยแล้วเนื่องจากสภาพของฝ้าที่เป็นหลุม พลังงานปราณที่มากับอากาศจะหมุนเวียนไม่สะดวกหรือไม่สม่ำเสมอ เมื่อลมหรือพลังงานเหล่านั้นมาปะทะกับร่างกายคนที่อยู่ด้านล่าง ทำให้ต้องปรับสภาพร่างกายหรือปรับอุณหภูมิตลอดเวลา เป็นสาเหตุให้คนที่นั่งหรือนอนนั้นมีโอกาสเจ็บป่วยหรือหงุดหงิดได้ง่าย

http://cdn.decoist.com/wp-content/uploads/2013/02/Chic-ceiling-design-with-multiple-illuminated-squares-for-the-lavish-bedroom.jpg


ดังนั้นภายในบ้านจึงควรเลือกห้องในการทำฝ้าหลุม  โดยเฉพาะห้องที่ใช้เวลาอยู่นานๆหรือใช้พักผ่อน เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน จึงไม่ควรทำ



บทความอื่นๆน่าสนใจ
- ฝ้าหลุมกับฮวงจุ้ย
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
- เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
- ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
- 8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด
- เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
- วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
- เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
- ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
- 7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด
- ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
- เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
- ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ
- ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด
- ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)



http://www.cmc.co.th/files/picture/news/main/news-main-289-1420276825.jpg

           ไม้ Particle หรือ MDF  ที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ภายในคอนโดนั้น จะมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเกรดตามมาตรฐานต่างๆ ของตัววัสดุ ของ particle board และ MDF นั้นๆ ซึ่งมันจะมีผลต่อไปยังการนำไปใช้งาน  

            นอกจากเรื่องของค่ามาตรฐานต่างๆ ที่มาเป็นตัวกำหนดคุณภาพของไม้แล้ว เรื่องการนำไปใช้งาน ก็เป็นอีกสาเหตหนึ่งที่ทำให้ไม้พวกนี้ บวม พอง ล้ม พังได้

http://www.americanwoodworker.com/cfs-filesystemfile.ashx/__key/CommunityServer.Blogs.Components.WeblogFiles/shop/10509_5F00_wetbasement.jpg

ส่วนเรื่องการดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ ไม้ Particle หรือ MDF  

จุด ที่จะบวมน้ำก่อนคือ  ส่วนที่สัมผัสกับพื้น   ดังนั้นต้องระวังอย่าถูพื้นแบบน้ำแฉะไปโดน  เพราะน้ำจะซึมเข้าเนื้อไม้ จนทำให้ไม้เปื่อยจนพังได้ง่าย
น้ำ หกต้องรีบเช็ด  เพราะจะส่งผลให้เกิดคราบน้ำ และรอยตำหนิบนไม้ได้ง่าย ๆ แถมเผลอ ๆ เนื้อไม้อาจจะบวมปูด หมดสวยกันไปเลยทีเดียว ดังนั้นหากของเหลวหกรดเฟอร์นิเจอร์เมื่อไร ต้องรีบใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แห้งสนิททันที
หลีก หนีแสงแดดจัด ความร้อนและยูวีทีส่องมายังเฟอร์นิเจอร์โดยตรง จะละลายสารเคลือบชั้นไม้ให้เสื่อมประสิทธิภาพ คราวนี้สีของเฟอร์นิเจอร์ก็ซีดลง แลดูไม่สวย และอาจทำให้เกิดความเปาะและแตกในที่สุดได้

          นอกจากนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงความชื้นด้วยเช่นกัน เพราะความชื้นอาจนำพาเชื้อรามาเกาะแกะเฟอร์นิเจอร์ได้ และทั้งหมดนี้ก็เป็นเคล็ดลับดูแลเฟอร์นิเจอร์ไม้ Particle หรือ MDF 


บทความอื่นๆน่าสนใจ
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 2)
- มารู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ MDF และไม้ Particle board (ตอนที่ 1)
- เคล็ดลับวิธีกำจัดกลิ่นอับภายในคอนโด
- ผนังภายในคอนโดแตกร้าว สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
- 8 เหตุผลทำไมต้องเลือกใช้ไม้ลามิเนตปูพื้นคอนโด
- เคล็ดลับการจัดคอนโด ให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
- วิธีซ่อมยาแนวห้องน้ำในคอนโด
- เคล็ดลับดูแลห้องน้ำ ให้ใหม่เสมอ
- ฮวงจุ้ยต้นไม้รอบบ้าน
- 7ข้อควรรู้ ก่อนจัดสวน ริมระเบียงคอนโด
- ไอเดียแต่งคอนโดเก๋ๆ แบบราคาสบายกระเป๋า
- เคล็ดลับเลือกซื้อบ้านและอาคารชุดคอนโด
- ฮวงจุ้ย 10 ประการ บั่นทอนโชคลาภ
- ค่าใช้จ่าย กรณีเปลี่ยนสัญญาคอนโด
- ไอเดียที่ตากผ้า สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโด