วิธีการตรวจรับห้องคอนโดฯ
สำหรับ
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ
ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการซื้อก็ว่าได้
ซึ่งการตรวจรับห้องเราควรจะตรวจเช็คอะไรบ้าง แล้วจะตรวจเช็คอย่างไร
หรือบางท่านอาจจะจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาทำการตรวจรับห้องให้
แต่บางคนไม่อยากเสียค่าใช้ จ่ายในส่วนนี้ ดังนั้นจึงไปตรวจรับเอง
โดยที่ไม่รู้ขั้นตอนและวิธีการตรวจรับที่ถูกต้อง
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ซื้อ เราขอนำวิธีการตรวจรับห้องมาฝากกัน
ทำไมเราต้องทำการตรวจสอบห้องก่อนจะเซ็นต์รับ
1. เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไฟฟ้าติดตั้งได้มาตรฐาน ทำงานได้อย่างดี และปลอดภัยต่อการใช้งาน
2. เพื่อให้มั่นใจว่าระบบประปา และสุขาภิบาล ทำงานได้อย่างสมบูรณ์
3. เพื่อให้มั่นใจว่างานตกแต่งๆ ติดตั้งได้ครบถ้วนถูกต้อง แข็งแรง และสวยงาม หรือไม่
4. เพื่อให้ทราบจุดบกพร่องต่างๆ และสามารถนำข้อมูลแจ้งให้ผู้ขายทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนการโอนกรรมสิทธิ์
5. เพื่อลดปัญหาการซ่อมงานหลังจากย้ายเข้าไปอยู่แล้ว ซึ่งหากเซ็นต์รับห้องแล้ว อาจจะมีความยุ่งยากในการแก้ไขได้
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมเพื่อตรวจรับห้อง
1.กระดาษ ปากกา ไว้จดรายการซ่อมแซม รวมถึงกระดาษกาว หรือกระดาษสี ใช้สำหรับแปะจุดที่ต้องการแก้ไข
2.สายไฟชาร์จโทรศัพท์ เพื่อทดสอบการจ่ายไฟของเต้าเสียบต่างๆ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์อื่นก็ได้ที่สามารถทดสอบการจ่ายไฟ เช่น ไขควงวัดไฟ
3โทรศัพท์บ้าน เพื่อทดสอบการทำงานของสายสัญญาณโทรศัพท์ว่าใช้งานได้หรือไม่
4.ถังน้ำ เพื่อเททดสอบความลาดเอียงของพื้นว่าจะไม่มีน้ำขัง
5.ลูก
แก้ว เพื่อทดสอบความเรียบและความเอียงของพื้น โดยการวางลูกแก้วบนพื้น
ถ้าลูกแก้วไหนไปรวมอยู่ที่เดียวกันแสดงว่าพื้นเป็นหลุมไม่เรียบเสมอกัน
6.ถุงเท้า เพื่อทดสอบพื้นว่าเรียบหรือไม่ โดยการเดินลากเท้าดูว่ามีสะดุด หรือพื้นไม่เรียบตรงจุดไหนบ้าง
7.เหรียญ
บาท เพื่อทดสอบพื้น โดยการเคาะเหรียญดูตามพื้นว่ามีเสียงเหมือนโพรง
หรือช่องว่างใต้พื้นหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าปูนใต้พื้นไม่เต็มพื้นที่
ซึ่งจะมีผลในอนาคต ที่อาจจะเกิดการกะเทาะแตกหรือหลุดออกมาได้
8.ไฟฉาย ไว้ตรวจสอบในพื้นที่ที่แสงเข้าไม่ถึง เช่น ผนังฉาบปูนต้องไม่มีรอยแตก เวลาส่องกับไฟฉายจะต้องไม่เห็นรอยปูดหรือยุบ
9.กล้อง
ถ่ายรูป เพื่อไว้ถ่ายรูปตรงจุดที่ต้องการแก้ไข
และเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบในครั้งต่อไป
ว่าครั้งที่ผ่านมาได้แก้ไขไปแล้วหรือยัง
อะไรบ้างที่เราควรจะตรวจสอบ
1.ตรวจสอบพื้นที่ทั่วไป เช่น ความถูกต้องพื้น, ผนัง, เฟอร์นิเจอร์, ฝ้าเพดาน, ประตู, หน้าต่าง, การทาสี, การติดวอลเปเปอร์
2.ตรวจสอบห้องน้ำ เช่น กระเบื้องพื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน, ประตู-หน้าต่าง, การติดตั้งสุขภัณฑ์, ตู้อาบน้ำ (Shower Box)
3.ตรวจ
สอบห้องครัว เช่น พื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน, ประตู-หน้าต่าง, เคาน์เตอร์ครัว,
อ่างล้างจาน, เตาแก๊ส, เครื่องดูดควัน, ชั้นวางของ, เฟอร์นิเจอร์ Built in
เป็นต้น
4.ตรวจ
สอบระเบียง เช่น , พื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน, ราวระเบียง, การระบายน้ำฝน,
น้ำทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ และการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
5.ตรวจ
สอบระบบสุขาภิบาล เช่น ระบบน้ำดี ,ระบบน้ำเสีย, ระบบน้ำทิ้ง ให้เปิด-ปิด
ก๊อกน้ำทุกหัว ดูว่ามีรั่วซึมหรือไม่ สุขภัฑ์สามารถกดน้ำได้ตามปกติหรือไม่
รวมถึงสายชำระว่าฉีดได้หรือไม่ เป็นต้น
6.ตรวจสอบงานสถาปัตย์ เช่น งานก่อ งานฉาบ ทาสี ปูกระเบื้อง เป็นต้น
7.ตรวจ
สอบระบบไฟฟ้า เช่น ตู้ควบคุมไฟฟ้า, อุปกรณ์ไฟฟ้า, สวิทซ์, ปลั๊ก
และการตรวจสอบระบบการทำงานของเบรกเกอร์ว่าทำงานหรือไม่
โดยส่วนใหญ่เบรกเกอร์ในห้องจะถูกแยกส่วนไว้ ทั้งระบบเต้าเสียบ ระบบเตาไฟฟ้า
ระบบเครื่องทำน้ำอุ่น ระบบ ดวงไฟ เป็นต้น
8.ตรวจสอบหลังคา ระดับฝ้า ความเรียบฝ้า
บทความจาก : aseanliving
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- วิธีการตรวจรับห้องคอนโด อย่างง่าย
- ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
- ผ่อนสั้นหรือผ่อนยาว สำหรับซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม อันไหนดีกว่ากัน
- สวนกระถาง สวนเล็กๆ ในบ้านให้ความสดใสให้กับชีวิต
- 10 ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับการซื้อบ้านและคอนโด
- ไอเดียแต่งสวนสวยด้วยหญ้าเทียม
- การเลือกใช้สีตามหลักภูมิปัญญาจีน
- การตกแต่งสไตล์ minimalist
- ตกแต่งบ้านหรือคอนโดหลังแรก
- ตกแต่งคอนโดด้วยสวนแคนตัส
- 7 เคล็ดลับขยายพื้นที่บ้าน ด้วยการตกแต่ง
- ตกแต่งบ้านด้วยสวนในร่ม
- โทนสีขาวดำ เท่อย่างมีสไตล์
- จัดห้องรับแขกในคอนโดให้ถูกหลักฮวงจุ้ย
- ทำความสะอาดห้องครัวในคอนโดให้แจ่ม
- แต่งห้องนั่งเล่นสุดชิคด้วยสติ๊กเกอร์ติดผนัง
- DIY ห้องทานข้าวสีทึมให้ดูสวยสดใส
- เลือกของแต่งคอนโดมิเนียม ตามหลักฮวงจุ้ย
- เคล็ดลับจัดตู้เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ
- หมอนอิงของกินแบบต่างๆ มาเสริมสร้างบรรยากาศในคอนโดมิเนียม
- เลือกทำเลซื้อบ้าน - คอนโด ฯ อย่างไรให้รวย
- แผงปุ่มไม้กะทัดรัด แขวนของได้สารพัด
- 4 เคล็ดลับ ทำให้คอนโดหอมสดชื่น
- 10 วิธี นอนหลับสบายๆ ในคอนโดช่วงหน้าร้อนโดยไม่ต้องเปิดแอร์
- 8 เคล็บลับน่ารู้ ที่ช่วยคุณดูแลรักษาตู้เย็นในคอนโด
- ตกแต่งคอนโดสไตล์วินเทจ
- มุมนั่งเล่นในคอนโด ที่จะทำให้เราผ่อนคลาย
การเสียภาษี เป็นหน้าที่ของเราชาวไทย
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ภาครัฐ นำไปบริหารพัฒนาประเทศต่อไป
ความจริงแล้วอาจกล่าวได้ว่า
การเสียภาษีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำของคนไทยได้อย่างกลม
กลืน จนบางครั้งก็เป็นไปโดยไม่ทันสังเกต
โดยปกติแล้ว คนไทยต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง ? ครอบคลุมทั้งเรื่อง
รายได้อาชีพ ,ทรัพย์สมบัติ เช่น รถ , การอุปโภคบริโภค, การลงทุน เช่น
ลงทุนตลาดหุ้น ขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นต้น รวมไปถึง
การได้รางวัลจากชิ้นส่วนชิงโชค
กระแสกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งหมดมีรายละเอียด
ดังนี้
1.
ทำมาหากิน ต้องเสียภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพในนามบุคคลหรือนิติบุคคล
ล้วนต้องเสีย ภาษีเงินได้ ทั้งนั้น
สำหรับคนไทยทำงานลูกจ้างทั่วไปจะจัดอยู่ในประเภทภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากมีเงินได้พึงประเมินเกิน 50,000 บาท (ไม่มีคู่สมรส) หรือเกิน 100,000
บาท (กรณีที่มีคู่สมรส)ในช่วงปีภาษีนั้นๆ ต้องทำการยื่นแบบ ภาษีฯ
ไม่ว่าจะมีภาษีที่ต้องชำระหรือไม่ก็ตาม สำหรับผู้ที่เสียภาษี เกินกว่า
3,000 บาท สามารถยื่นเรื่องขอแบ่งจ่ายชำระ ได้ไม่เกิน 3 งวด
โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ แต่ถ้าหาก ลืมจ่ายภาษี จนเลยกำหนดการจ่ายไปแล้ว
เสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ
2.
มีรถขับ ต้องเสียภาษีรถยนต์ เป็นประจำทุกปี
ที่เหล่าผู้เป็นเจ้าของรถทุกประเภท จะต้องดำเนินการ ต่อ พรบ.
และชำระภาษีรถยนต์ โดย พ.ร.บ. เสมือนเป็นการทำประกันภัยภาคบังคับ
ที่จะคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
ซึ่งทางกรมการขนส่งต้องใช้ประกอบในการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี
สำหรับอัตราภาษีรถยนต์นั้น จะแตกต่างไปตามประเภทรถ เช่น
จัดเก็บตามความจุกระบอกสูบ (ซีซี) จากรถยนต์ ,จัดเก็บเป็นรายคัน
,จัดเก็บตามน้ำหนักเป็นต้น >> สรุปอัตราภาษีรถ
3.
พาครอบครัวทานร้านอาหาร ต้องเสียมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
หลายคนคงพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว รู้สึกหงุดหงิดในใจ
เพราะราคาอาหารไม่ได้เป็นไปตามการคาดการณ์ เนื่องจากลืมคำนึงถึง vat 7%
ต้องอธิบายว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) คือ
ภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและการ
จำหน่ายสินค้าหรือบริการนั้นๆ
โดยผู้ประกอบกิจการจะเป็นผู้เรียกเก็บจากลูกค้า
และนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระกรมสรรพากร เรียกง่ายๆว่า ผลักภาระให้ผู้บริโภค
นั้นเอง
เป็นภาษีทางอ้อมที่คนไทยฐานะผู้บริโภคจำต้องรับไว้ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็
ตาม
4.
มีเงินฝากธนาคาร ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก
เชื่อว่าหลายคนอาจละเลยภาษีส่วนนี้ไป
เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำ (ออมทรัพย์0.125%-1%
,ฝากประจำ 0.8-2.5%) ซึ่งดอกเบี้ยต่อปีที่ได้รับ แม้รวมทุกธนาคารแล้ว หาก
ไม่ถึง 20,000 บาทต่อปี จะอยู่ในข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ส่วนที่เกิน
20,000 บาท จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%) สำหรับข้อยกเว้นดังกล่าว
ยังรวมไปถึงกรณีเงินฝากประจำ ประเภทเงินฝากเผื่อเรียกธ.ออมสินและธกส. ,
เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์, เงินฝากประจำ 2ปีขึ้นไป ไม่เกิน 600,000 บาท
และเงินฝากประจำมากกว่า 1ปี อายุ 55ปีขึ้นไป ที่ได้รับดอกเบี้ยไม่เกิน
30,000บาท เป็นต้น
5.
ลงทุนตลาดหุ้น ต้องเสียภาษีเงินปันผล
แม้ว่ากำไรจากการขายหรือโอนหุ้นจะได้รับสิทธิยกเว้นเงินได้โดยกฎหมาย
แต่สำหรับ เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผลนั้นๆ ทั้งนี้
สำหรับผู้เสียภาษีเงินได้ สามารถใช้สิทธิขอคืนภาษีได้ เรียกว่า
เครดิตภาษีเงินปันผล เป็นการขอคืนเงินภาษีจากการเก็บซ่ำซ้อน
เนื่องจากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น
เป็นเงินกำไรสุทธิที่ได้หักจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว
และเมื่อผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลก้อนนั้น
ซึ่งถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน
จำเป็นต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้ง
จึงกลายเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนจากกำไรก้อนเดียวกัน
6.
หารายได้เสริม ขายสินค้าทางเน็ต ต้องเสียภาษีเงินได้ (เกิน 1.8 บาทต่อปี
เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) อธิบายได้ว่า เมื่อไหร่ที่มีรายได้ ย่อมต้องเสีย
ภาษีเงินได้ กรณีขายในนามบุคคลจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากเป็นนามบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
และสำหรับผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่มี รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อีกด้วย หมายความว่า
ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องคิด vat 7%
บวกเพิ่มกับราคาสินค้าที่ขายนั้นๆ ด้วย
7.
ถูกรางวัลชิงโชค ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที (เสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น)
เงินรางวัลที่ผู้โชคดีได้รับ จะถูกหักทันที่ ภาษี ณ ที่จ่าย 5%
ของมูลค่าสินค้าหรือเงินรางวัล และเมื่อครบปีภาษีนั้นๆ (เดือนมีนาคม)
เงินรางวัลเหล่านี้จะถูกรวมเข้ากับเงินได้พึงประเมินอื่นๆ เพื่อนำไปคำนวณ
ภาษีเงินได้ ต่อไป ทั้งนี้ หากผู้โชคดีรายนั้น มีผลรวมของ
เงินได้พึ่งประเมินและเงินรางวัล ไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี
จะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ดังนั้น
ผู้โชคดีรายนั้นสามารถขอคืนภาษี 5% ที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ดังกล่าวได้
8.
ขายบ้าน ต้องเสียภาษีจากการขายอสังหา เมื่อขายบ้านหรืออสังหาฯใดก็ตาม
จะต้องเสีย ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
โดยพิจารณาจากราคาประเมินและจำนวนปีที่ถือครอง นอกจากนี้ยังมี
ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ที่ผู้ขายต้องเสียในขั้นตอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ,
ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ทุกครั้งที่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และ
กรณีผู้ขายครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่า 5 ปี จะต้องเสีย
ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% จากราคาประเมินหรือราคาตลาดที่สูงกว่า
ล่าสุดเมื่อปลายปี 57 ก็ยังมีกระแสจัดเก็บ ภาษีมรดก ที่ว่า
ภาษีมรดกจะจัดเก็บจากผู้ที่ได้รับมรดกจากผู้ตาย ที่เกิน 50 ลบ. ขึ้นไป
ในอัตรา 10% และการโอนมรดกช่วงย้อนหลังไป 5 ปีก่อนครั้งล่าสุด
ระหว่างที่ผู้ให้ยังไม่ตาย เรียกว่า “ภาษีการรับให้” ที่เกิน 10 ลบ. ขึ้นไป
ในอัตรา 10% ซึ่งยังคงต้องติดตามกันต่อไป
บทความจาก : terrabkk
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
- ผ่อนสั้นหรือผ่อนยาว สำหรับซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม อันไหนดีกว่ากัน
- สวนกระถาง สวนเล็กๆ ในบ้านให้ความสดใสให้กับชีวิต
- 10 ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับการซื้อบ้านและคอนโด
- ไอเดียแต่งสวนสวยด้วยหญ้าเทียม
- การเลือกใช้สีตามหลักภูมิปัญญาจีน
- การตกแต่งสไตล์ minimalist
- ตกแต่งบ้านหรือคอนโดหลังแรก
- ตกแต่งคอนโดด้วยสวนแคนตัส
- 7 เคล็ดลับขยายพื้นที่บ้าน ด้วยการตกแต่ง
- ตกแต่งบ้านด้วยสวนในร่ม
- โทนสีขาวดำ เท่อย่างมีสไตล์
- จัดห้องรับแขกในคอนโดให้ถูกหลักฮวงจุ้ย
- ทำความสะอาดห้องครัวในคอนโดให้แจ่ม
- แต่งห้องนั่งเล่นสุดชิคด้วยสติ๊กเกอร์ติดผนัง
- DIY ห้องทานข้าวสีทึมให้ดูสวยสดใส
- เลือกของแต่งคอนโดมิเนียม ตามหลักฮวงจุ้ย
- เคล็ดลับจัดตู้เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ
- หมอนอิงของกินแบบต่างๆ มาเสริมสร้างบรรยากาศในคอนโดมิเนียม
- เลือกทำเลซื้อบ้าน - คอนโด ฯ อย่างไรให้รวย
- แผงปุ่มไม้กะทัดรัด แขวนของได้สารพัด
- 4 เคล็ดลับ ทำให้คอนโดหอมสดชื่น
- 10 วิธี นอนหลับสบายๆ ในคอนโดช่วงหน้าร้อนโดยไม่ต้องเปิดแอร์
- 8 เคล็บลับน่ารู้ ที่ช่วยคุณดูแลรักษาตู้เย็นในคอนโด
- ตกแต่งคอนโดสไตล์วินเทจ
- มุมนั่งเล่นในคอนโด ที่จะทำให้เราผ่อนคลาย
สีนั้นมีพลังงานบางอย่างที่ส่งผลกระทบกับ
สิ่งมีชีวิตได้โดยสีแต่ละสีนั้นสามารถส่งผลให้คนนั้นรับรู้และเกิดความ
รู้สึกที่แตกต่างกันได้จึงส่งผลถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อคนเราอยู่ห้องสีขาวหรือสีอ่อนก็ไม่รู้สึกร้อนแต่เมื่อคนอยู่ในห้องสี
แดงก็จะรู้สึกร้อนขึ้นมาได้ทั้งที่ห้องนั้นไม่ได้มีเครื่องทำความร้อนชนิดใด
ที่เปลี่ยนอุณหภูมิของห้องให้ร้อนขึ้นมาแต่ความรู้สึกของคนหรือสิ่งมีชีวิต
นั้นรับรู้ถึงพลังงานของสีนั้นได้

ดังนั้นการใช้สีสันต่างๆนั้นจะต้องเลือกใช้อย่างสมดุลกันไม่มากหรือน้อยเกิน
ไปเพราะพลังงานของสีนั้นจะทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นเสียสมดุลได้ส่งผลให้เจ็บ
ป่วย ซึมเซา ฯลฯ ได้ เช่น การหากเอากรงขังสัตว์มีผนังสีม่วงทึบนั้น
พลังงานจากสีก็จะกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของสัตว์ให้เกิดการเจ็บป่วยได้
แต่เมื่อเปลี่ยนสีผนังม่วงทึบไปเป็นสีอ่อน เช่น สีฟ้าแล้ว
สัตว์นั้นกลับมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้
แท้จริงพลังงานสีนั้นส่งผลต่อการหลังฮอร์โมนและเกิดปฎิกิริยาทางเคมีในร่าง
กายที่แตกต่างกันซึ่งส่งผลต่อชีวิตคนดังนั้นพลังงานจากสีนั้นเป็นปัจจัย
อย่างหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญในศาสตร์ฮวงจุ้ย
สีของวัตถุแต่ละชิ้นนั้นเกิดจากที่แสงนั้นสัมผัสกับวัตถุโดยวัตถุนั้นจะดูด
กลืนแสงบางความถี่และกระจายหรือสะท้อนแสงบางความถี่ออกมา
โดยแต่ละความถี่ของแสงก็จะแสดงสีสันออกมาต่างกัน เช่นแสดงเป็นสีเหลือง
น้ำตาล แดง ส้ม ฟ้า น้ำเงิน เขียว ฯลฯ
ขณะที่วัตุสีดำคือวัตถุที่ดูดกลืนแสงหรือไม่สะท้อนแสงทุกความถี่
ตรงกันข้ามกับสีขาวที่ไม่ดูดกลืนหรือสะท้อนแสงทุกความถี่ออกมา
เมื่อแสงแต่ละความถี่กระทบกับดวงตาก็จะทำให้เห็นสีที่แตกต่างกันและส่งผลต่อ
ความรู้สึกที่แตกต่างกันนั้นเอง
แม้ว่าแสงนั้นจะก่อให้เกิดสีมากมายจากพลังงานความถี่ที่แตกต่างกัน
แต่สำหรับในวิชาภูมิปัญญาจีนแล้วสีนั้นจะแบ่งเป็น 5 ธาตุเท่านั้น
เนื่องจากชาวจีนนั้นเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมนั้น
สามารถแบ่งออกเป็นธาตุต่างๆทั้ง 5 ธาตุ (ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ)
โดยแต่ละธาตุก็จะมีลักษณะของพลังงาน รูปทรงรูปร่าง วัตถุสสาร สีสรร ฯลฯ
แตกต่าง โดยสีสรรต่างๆนั้นก็สามารถแจกแจงเป็น 5 ธาตุได้
ตามข้อมูลด้านล่างนี้
ข้อมูลแสดงการแบ่งสีต่างๆให้สอดคล้องกับธาตุ
ธาตุดิน ได้แก่ สีเหลือง,ส้ม,น้ำตาล,ครีม,อิฐ,สีแทน
ธาตุทอง ได้แก่ ทอง สีขาว , เงิน , ทอง
ธาตุน้ำ ได้แก่ สีฟ้า , น้ำเงิน , ดำ, เทาเข้ม
ธาตุไม้ ได้แก่ สีเขียว (แก่และอ่อน)
ธาตุไฟ ได้แก่ สีแดง , ม่วงแดง, ชมพู
ธาตุดิน ซึ่ง
เปรียบได้กับดิน หิน
ทรายที่รองรับสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้จึงเปรียบเสมือนความอดทน หนักแน่น
มั่นคง ยึดมั่นในสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งสีแห่งพลังธาตุดินนั้นคือสีเหลือง ส้ม
น้ำตาล ครีม
โดยสีเหลืองนั้นจะเปรียบเหมือนจุดศูนย์รวมพลังงานที่รองรับทุกสรรพสิ่งและ
เป็นสีแห่งอำนาจ ซึ่งจักรพรรดิจีนทุกองค์นั้นจะใช้ชุดเป็นสีเหลืองเสมอ
ขณะที่สีน้ำตาลก็หมายถึงมั่นคง สมดุลที่เรียบง่าย
ธาตุทอง ซึ่ง
เปรียบได้กับโลหะที่มีความแข็งแรง ความชัดเจน เร็วแรง เฉียบคม
ความแน่นอนเด็ดขาด ยุติธรรม
หากสังเกตสิ่งของที่เคลื่อนไหวรวดเร็วหรือของแข็งต่างๆมักจะเป็นวัตถุธาตุ
ที่เป็นโลหะ เช่น เครื่องจักร รถยนต์ ฯลฯ ซึ่งสีแห่งธาตุทองคือสีเงิน สีทอง
และสีขาวโดยสีขาวนั้นคือความแวววาวสูงสุดของโลหะซึ่งสะท้อนแสงออกมาเป็นสี
ขาว
ซึ่งจริงแล้วสีขาวนั้นเป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมซึ่งทั่วไปแล้วจะใช้
เป็นสีขาวเป็นชุดทางพิธีกรรมของหลายศาสนา
ธาตุน้ำ เปรียบ
เสมือนความใสของปัญญา ความลึกซึ้งของความคิดเหมือนน้ำที่ใสสะอาด
นอกจากนี้น้ำเป็นสิ่งที่สามารถไหลไปได้ทุกแห่งหน
เปลี่ยนรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุได้จึงเปรียบเสมือนกับการพลิกแพลง
ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆนั้นได้ ธาตุน้ำยึงหมายถึงความลึกลับ
ซ้อนเร้นเหมือนกับมหาสมุทรที่ลึกมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใดๆ
ซึ่งสีของธาตุน้ำคือสีฟ้า น้ำเงิน ซึ่งหมายถึงความเยือกเย็น
สงบนิ่งเหมือนปัญญาใสนิ่งสงบ และเป็นสีที่ช่วยในการบำบัดโรคได้ดีอีกด้วย
นอกจากนี้สีดำยังเป็นสีของธาตุน้ำซึ่งเปรียบเสมือนน้ำลึกไม่เห็นแสงใดๆ
จึงหมายถึงความลึกลับ ซ้อนเร้น ความเฉลียดฉลาดทางปัญญาที่ลึกซึ้ง
ธาตุไม้ เปรียบ
เหมือนการพัฒนา เมตตา วิชาการ
ความคิดสร้างสรรค์เหมือนต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆเหมือน
การพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางด้านการศึกษา วิชาการต่างๆ
และต้นไม้นั้นแตกกิ่งก้านสาขาจากลำต้นเปรียบเหมือนความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
นานาที่แตกแขนง นอกจากนี้ต้นไม้ยังให้ความร่มรื่นต่อสัตว์อื่น
มีผลมีดอกให้คนนำไปใช้ประโยชน์จึงเปรียบเสมือนต้นไม้มีความเมตตาต่อสรรพสิ่ง
อื่นๆ ซึ่งสีเขียวนั้นเป็นพลังของธาตุไม้ซึ่งเป็นสีของการเจริญเติบโต
ฟื้นฟูสิ่งต่างๆ
โดยเป็นสีหลักที่โรงพยาบาลซึ่งเหมือนเป็นสีแห่งการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง
และมีพัฒนาการ
ธาตุไฟ เปรียบเหมือนเปลวไฟที่
โดดเด่นจึงเกี่ยวกับ ชื่อเสียง การแสดงออก
ไฟยังแผ่กระจายพลังงานดังนั้นก็เปรียบเหมือนการให้ความอบอุ่น
การให้ความรู้ให้กระจ่าง ซึ่งสีของธาตุไฟนั้นคือสีแดง สีชมพู และม่วงแดง
โดยสีแดงนั้นคือความร้อนแรง กระตืนรืนร้น ความสนุกสนาน
ความยินดีปิติจึงเหมาะกับงานเฉลิมฉลองหรืองานมงคลต่างๆ
นอกจากนี้เป็นสีที่กระตุ้นพลังงานได้มากจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมเพราะ
สามารถกระตุ้นพลังงานที่ดีหรือที่ร้ายได้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะสม
ส่วนสีชมพูคือสีแห่งความรัก ความอ่อนโยน นุ่มนวล
ส่วนสีม่วงแดงคือสีแห่งพลังทางด้านจิตวิญญาณ
ส่วนการเลือกใช้สีนั้นก็มีหลายทฤษฎีสำหรับการเลือกใช้สีต่างๆซึ่งในบทความ
นี้คงไม่กล่าวถึงการใช้สีในเชิงการตกแต่งภายในและภายนอกตามหลักสถาปัตยกรรม
แต่จะกล่าวถึงการใช้สีตามภูมิปัญญาจีนเป็นหลักซึ่งก็ได้กล่าวคร่าวๆเกี่ยว
กับความหมายในแต่ละสีที่ถูกแบ่งเป็นธาตุต่างๆและมีความหมายที่แตกต่างกัน
โดยสามารถเลือกใช้สีเพื่อให้ก่อเกิดตามความหมายที่กล่าวไปเบื้องต้นได้เช่น
กัน แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้สีนั้นยังมีอีก 2
ทฤษฎีด้วยกันคือการเลือกใช้สีให้สอดคล้องกับองศาทิศทางตามหลักวิชาฮวงจุ้ย
ที่ต้องคำนวนในแต่ละสถานที่และอีกวีธีคือการเลือกใช้สีให้สอดคล้องกับดวง
ชะตาคนแต่ละคน
ซึ่งการใช้สีตามหลักฮวงจุ้ยนั้นจะส่งผลกับทุกๆคนที่อยู่บริเวณสถานที่ที่ใช้
สีนั้นๆเป็นหลัก
ขณะที่การใช้สีให้สอดคล้องกับดวงชะตาคนนั้นจะเป็นการใช้สีเพื่อเสริมเฉพาะ
บุคคลเท่านั้นไม่ได้เกิดผลรวมคนอื่นๆ
การใช้สีกับองศาทิศทางของฮวงจุ้ยจะพิจารณาสีให้สอดคล้องกับพลังงานในแต่ละ
องศาทิศทางเพื่อไปกระตุ้นพลังงานที่ดีให้ดียิ่งขึ้น เช่น
หากคำนวนองศาทิศทางแล้วทิศใต้มีปราณพลังธาตุไฟที่ดีก็ควรที่ใช้สีของธาตุไฟ
หรือสีของธาตุไม้บริเวณนั้น เนื่องจากสีธาตุไฟ (สีแดง ชมพู ม่วงแดง)
เป็นสีพลังงานลักษณะเดียวกันกับปราณพลังงานธาตุไฟจึงส่งเสริมปราณพลังงาน
ธาตุไฟให้มีพลังมากขึ้น
ส่วนสีของธาตุไม้ซึ่งปกติแล้วธาตุไม้เป็นธาตุที่ก่อเกิดธาตุไฟให้มีกำลังมาก
ขึ้นเหมือนไม้เป็นเชื้อเพลิงดังนั้นหากใช้สีของธาตุไม้ (สีเขียว)
ก็จะยิ่งกระตุ้นพลังงานธาตุไฟให้กำลังมากขึ้นเช่นกัน
ซึ่งการยกตัวอย่างนี้เป็นรายละเอียดคราวๆ
นอกจากนี้ยังเลือกใช้สีลดทอนพลังที่ร้ายให้ร้ายน้อยลงในแต่ละองศาทิศทางได้
อีกด้วย ซึ่งแท้จริงหลักการใช้สีนั้นอ้างอิงถึงหลักของตามปฎิกิริยา 5 ธาตุ
ที่มีสัมพันธ์ของแต่ละธาตุต่างกัน โดยบางธาตุก่อเกิดพลังให้บางธาตุ
บางธาตุถ่ายเทพลังงานของบางธาตุ และบางธาตุพิฆาตควบคุมบางธาตุนั้นเอง
ส่วน
วีธีการเลือกใช้สีให้ถูกต้องกับบุคคลนั้นก็จะพิจารณาจากวิชาดวงจีนเป็นหลัก
ซึ่งจะแปลปี เดือน วัน ยาม
เกิดของแต่คนเป็นธาตุต่างหลายธาตุมาประจุอยู่ในตัวคนแล้วความสมดุลของธาตุใน
แต่ละดวงคน
ซึ่งแต่ละดวงคนจะมีความต้องการธาตุบางธาตุเป็นพิเศษเพื่อมาเสริมความสมดุล
และก็ไม่ต้องการธาตุบางธาตุที่ทำลายความสมดุลจึงทำให้มีธาตุที่ให้คุณและให้
โทษต่างกันไปในแต่ละคน โดยดวงคนที่ต้องการธาตุน้ำก็ควรเลือกใช้สีฟ้า
น้ำเงิน ดำ ดวงชอบธาตุไม้ก็เลือกใช้สีเขียวอ่อนหรือเข้ม
ดวงชอบธาตุไฟก็ใช้สีแดง ชมพู ม่วงแดง ดวงชอบธาตุดินก็ใช้สีเหลือง น้ำตาล
ส้ม ครีม และดวงชอบธาตุทองก็ให้ใช้สีขาว เงิน ทอง
ซึ่งดวงคนแต่ละดวงก็จะมีธาตุที่ให้คุณประมาณ 2-3
ธาตุเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้มีสีให้เลือกใช้สำหรับแต่ละดวงคนเยอะพอสมควร
เพียงแต่ดวงแต่ละคนนั้นก็จะมีธาตุที่สำคัญสูงสุดซึ่งทำให้สีของธาตุนั้นเป็น
สีสำคัญที่ดีสุดสำหรับดวงแต่ละคนด้วย
เนื่องจากการใช้สีเสริมดวงคนนั้นเป็นการเสริมเจาะจงเฉพาะตัวบุคคลดังนั้นจึง
เหมาะกับสิ่งที่ใช้เป็นเฉพาะเจาะต่อคนนั้นๆ เช่น สีห้องนอนของแต่ละคน
สีของเครื่องแต่งกาย สีเครื่องประดับ สีรถยนต์ เป็นต้น
การพิจารณาคำนวนปราณว่าทิศทางไหนจะมีพลังงานดีหรือร้ายแล้วเลือกใช้สีต่างๆ
ให้สอดคล้องตามหลักฮวงจุ้ยนั้นสลับซับซ้อนและต้องคำนวนตามองศาแกนแม่เหล็ก
โลกของสถานที่นั้นเป็นหลัก
ส่วนการหาธาตุให้คุณให้โทษตามดวงชะตาคนนั้นก็ต้องอาศัยการคำนวนที่ต้องใช้
ประสบการณ์ทางด้านดวงจีน
ดังนั้นหากจะพิจารณาใช้สีต่างๆให้ถูกต้องจริงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจหลัก
การฮวงจุ้ยและดวงจีนทั้ง 2 ด้าน
เพื่อให้เลือกใช้สีที่เหมาะสมที่ถูกต้องสอดคล้องของหลักการของ 2
วิชาร่วมกันก็จะทำให้การเลือกใช้สีนั้นถูกต้องและให้คุณประโยชน์สูงสุด
โดย อ. เกริกวิชญ์ กฤษฎาพงษ์
Baannatura
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- การเลือกใช้สีตามหลักภูมิปัญญาจีน
- การตกแต่งสไตล์ minimalist
- ตกแต่งบ้านหรือคอนโดหลังแรก
- ตกแต่งคอนโดด้วยสวนแคนตัส
- 7 เคล็ดลับขยายพื้นที่บ้าน ด้วยการตกแต่ง
- ตกแต่งบ้านด้วยสวนในร่ม
- โทนสีขาวดำ เท่อย่างมีสไตล์
- จัดห้องรับแขกในคอนโดให้ถูกหลักฮวงจุ้ย
- ทำความสะอาดห้องครัวในคอนโดให้แจ่ม
- แต่งห้องนั่งเล่นสุดชิคด้วยสติ๊กเกอร์ติดผนัง
- DIY ห้องทานข้าวสีทึมให้ดูสวยสดใส
- เลือกของแต่งคอนโดมิเนียม ตามหลักฮวงจุ้ย
- เคล็ดลับจัดตู้เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ
- หมอนอิงของกินแบบต่างๆ มาเสริมสร้างบรรยากาศในคอนโดมิเนียม
- เลือกทำเลซื้อบ้าน - คอนโด ฯ อย่างไรให้รวย
- แผงปุ่มไม้กะทัดรัด แขวนของได้สารพัด
- 4 เคล็ดลับ ทำให้คอนโดหอมสดชื่น
- 10 วิธี นอนหลับสบายๆ ในคอนโดช่วงหน้าร้อนโดยไม่ต้องเปิดแอร์
- 8 เคล็บลับน่ารู้ ที่ช่วยคุณดูแลรักษาตู้เย็นในคอนโด
- ตกแต่งคอนโดสไตล์วินเทจ
- มุมนั่งเล่นในคอนโด ที่จะทำให้เราผ่อนคลาย